กลุ่มที่มีความผิดปกติรุนแรงนั้น เช่น รายที่มีภาวะของการทำลายเส้นประสาทรอบนอกจากโรคบางชนิด เช่น ภาวะเบาหวาน โรคใด ๆ ที่เกิดความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สมองหรือไขสันหลังก็สามารถเกิดอาการเหน็บชาได้เช่นกัน ซึ่งหากมีอาการเหน็บชาร่วมกับอาการผิดปกติอื่นด้วย และมีระยะเวลาที่มีอาการยาวนานหรืออาการมีความรุนแรงจนไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันอย่างปกติได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายโดยละเอียด และไม่ควรตัดสินใจซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมารับประทานเอง เราจะป้องกันอาการเหน็บชาได้อย่างไร 1. เลือกรับประทานอาหารกลุ่มธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ลูกเดือย ข้าวฟ่าง งาต่าง ๆ เป็นประจำ เพื่อให้ได้รับวิตามินบี 1 เป็นประจำ 2. เลือกรับประทานอาหารจากเนื้อสัตว์เป็นปกติ แต่ให้ความสำคัญในการเลือกให้ไขมันไม่สูงเกินไป โดยตัดมันหรือหนังทิ้งออกไปก่อนนำมาปรุงอาหาร จะทำให้ได้รับวิตามินบี 12 เพียงพอ 3. สำหรับปัญหาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาท ควรมีการวางแผนการออกกำลังกายให้ครบถ้วนเป็นประจำ และอาจปรึกษานักกายภาพบำบัดหรือนักวิทยาศาสตร์การกีฬาเบื้องต้นได้ หากต้องการคำแนะนำการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตนเอง
หลายคนคงเคยได้ยินโรคนี้มาก่อนนั่นคือ " โรคเหน็บชา " แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามันคือ อาการชาตามขาหรือเท้าเวลานั่งนานๆ เพราะโรคเหน็บชาที่จะพูดถึงนี้คือ โรคเหน็บชา (Beriberi) ที่มีสาเหตุมาจากการขาด วิตามิน บี1 หรือไธอามีน (Thiamine) ซึ่งร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารหรืออาหารเสริมเท่านั้น วิตามินบี 1 เกี่ยวกับโรคเหน็บชาอย่างไร?
เหน็บชาเปียก แสดงออกถึงความอ่อนแอ อ่อนเพลียใจสั่นและหายใจถี่ ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวด้านขวา จะมีอาการเบื่ออาหารคลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะน้อยและอาการบวมน้ำที่ส่วนปลาย สัญญาณที่เป็นบวกของการตรวจร่างกาย ส่วนใหญ่เป็นอาการของความดันเลือดดำในระบบสูง อัตราการเต้นของชีพจรเร็ว แต่ไม่ค่อยเกิน 120ครั้งต่อนาที ความดันโลหิตต่ำแต่ความดันชีพจรเพิ่มขึ้น การกระทบกระแทก ความหมองคล้ำของหัวใจ ผื่นเปียกที่ด้านล่างของปอดและสัญญาณของตับน้ำ ในช่องเยื่อหุ้มปอด น้ำในช่องท้องและเยื่อหุ้มหัวใจ 3. โรคเหน็บชาหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน อาการนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลวเฉียบพลัน หายใจถี่ หงุดหงิด ความดันโลหิตลดลง ตัวเขียวบริเวณรอบข้างอย่างรุนแรง อัตราการเต้นของหัวใจอย่างรวดเร็ว การขยายตัวของหัวใจอย่างชัดเจน และหลอดเลือดดำที่คอขยาย ผู้ป่วยสามารถเสียชีวิต ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือหลายวัน 4.
ถั่วและธัญพืช ที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว งา ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ จมูกข้าวสาลี และรำข้าว 2. ธัญพืชเต็มเมล็ดหรือโฮลเกรน (Whole Grains) 3. เนื้อวัว เนื้อปลา เนื้อหมูไม่ติดมัน ตับ ไต และไข่แดง 4. นมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น โยเกิร์ต 5. ผักบางชนิด เช่น หน่อไม้ฝรั่ง ฟักทอง กะหล่ำดาว ผักโขม เห็ด ส่วนผลไม้ เช่น แตงโม ส้ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเหน็บชาให้น้อยลง เพราะแอลกอฮอล์มีผลต่อการดูดซึมวิตามินบี 1 ในร่างกาย ควรได้รับการตรวจภาวะขาดวิตามินบี 1 อย่างสม่ำเสมอ และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1 เช่น ปลาร้า ใบชา ใบเมี่ยง หมากพลู ปลาส้มดิบ แหนมดิบ เป็นต้น เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ร่างกายของเราห่างไกลจาก โรคเหน็บชา ได้แล้ว
เผยแพร่: 28 ส. ค.
ติดสุราเรื้อรัง เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ลดการดูดซึมวิตามินบี 1 และเพิ่มการขับวิตามินบี 1 ออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายสะสมวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอ 2. เหน็บชาจากกรรมพันธุ์ 3. ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) 4. การผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วน (Bariatric surgery) 5. โรคเอดส์ (AIDS) 6. ท้องเสียเป็นเวลานาน หรือการใช้ยาขับปัสสาวะ 7. ผู้ที่กำลังรับการรักษาด้วยการฟอกไต 8. ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1 เช่น ปลาร้า ใบชา ใบเมี่ยง หมากพลู ปลาส้มดิบ และแหนมดิบ เป็นต้น 9. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับเรื้อรัง เช่น ตับแข็ง 10. คนวัยฉกรรจ์ที่ต้องออกแรงหรือทำงานหนักๆ เช่น กรรมกร ชาวนา นักกีฬา ผู้ต้องขัง และชาวประมงที่ออกทะเลเป็นเวลานานๆ 11. ทารกที่รับประทานนมมารดาเพียงอย่างเดียว โดยที่มารดามีภาวะขาดวิตามินบี 1 12. หญิงตั้งครรภ์และผู้ที่กำลังให้นมบุตร 13. ผู้ที่รับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลมาก แต่รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 น้อย อาการของโรคเหน็บชา โรคเหน็บชา แบบนี้จะมีความแตกต่างจากอาการเหน็บชาที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เพราะโรคเหน็บชานี้เกิดจากการขาดวิตามินบี 1 โดยอาการสามารถเกิดขึ้นได้หลายแบบขึ้นอยู่กับอายุและอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ เหน็บชาในเด็ก (Infantile Beriberi) และเหน็บชาในผู้ใหญ่ (Adult Beriberi) 1.
เหน็บชาในเด็ก มักจะพบบ่อยในทารกอายุ 2 - 3 เดือน ที่รับประทานนมแม่ที่มีภาวะขาดวิตามิน บี 1 หรือรับประทานอาหารที่ขาดวิตามิน บี 1 โดยมักมีอาการหน้าเขียว หอบเหนื่อย ตัวบวม ขาบวม หัวใจโต หัวใจเต้นเร็ว ร้องไห้เสียงแหบหรือไม่มีเสียง บางรายอาจมีอาการตากระตุก และหนังตาบนตก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที อาจทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 2 - 3 ชั่วโมงเท่านั้น 2.
หลายครั้งคนเราเลือกที่จะพักผ่อนในอิริยาบถที่ทำให้ตนเองรู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจ โดยที่ไม่ทันได้คิดเลยว่าแค่นั่งเฉยๆ เป็นระยะเวลานานๆ น่าจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้น แต่ผลกลับกลายเป็นตรงกันข้าม คือ เกิดอาการผิดปกติแปลกๆ ตามร่างกายในส่วนที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว มีอาการชาๆ แต่พอจะขยับตัวทีก็รู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาทันที ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าจะหาย เราเรียกกันอาการเหล่านี้ว่า อาการเหน็บชา อาการเหน็บชา เกิดจากอะไร?